หน้าแรก

1/14/2560

ภาพรวม และส่วนแบ่งการตลาดรถมอเตอร์ไซค์ในประเทศไทย

ภาพยอดขายรถจักรยานยนต์ในไทยปี 2008-2016 
ข้อมูลจากบริษัท ฐิติกร จำกัด (มหาชน) (ที่มา)


ส่วนแบ่งการตลาดรถจักรยานยนต์เดือนม.ค.-พ.ย. ปี 2015 (ที่มา)

สรุปยอดขายรถจักรยานยนต์ตั้งแต่เดือนม.ค.-พ.ย. ปี 2015
อันดับ 1 คือ Honda ขายได้ 1,246,577 คัน
อันดับ 2 คือ Yamaha ขายได้ 190,768 คัน
อันดับ 3 คือ Suzuki ขายได้ 27,690 คัน
*รถจักรยานยนต์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ Honda MSX125 ราคา 71,900 บาท

ภาพรถจักรยานยนต์ Honda MSX125 ซึ่งได้รับความนิยมมากที่สุด


ภาพอุตสาหกรรมรถในไทยปี 2015 การผลิต, ขายในประเทศ และการส่งออก (ที่มา)

แถมข้อมูล: ประชากรกัมพูชา 15.5 ล้านคน ตลาดรถจักรยานยนต์ประมาณ 300,000-400,000 คันต่อปี 

1/08/2560

บันทึกการลงทุนใน LTF และเตรียมเปลี่ยนเป็น RMF



  1. เริ่มลงทุนกองทุน LTF แรกคือ BLTF75 (กองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นระยะยาว 75/25) ในวันที่ 27 ธันวา 2555 เป็นกองทุนที่ไม่มีปันผล
  2. จากนั้นปีต่อมาเริ่มซื้อกองทุน KFLTFDIV (กองทุนเปิดกรุงศรีหุ้นระยะยาวปันผล) ด้วย เพื่อศึกษาควบคู่กันไป เนื่องจากเป็นกองทุนที่มีปันผลให้ปีละครั้ง 
  3. จากรูปจะเห็นว่าผลการลงทุนกองทุนที่ไม่ปันผล BLTF75 นั่นมีกำไรค่อนข้างดีที่ 20.70% ในขณะที่กองทุนปันผล KFLTFDIV ขาดทุนอยู่ที่ -5.43% แต่ถ้าหักจากได้ปันผลมาแล้วก็ยังกำไรอยู่ที่ 1.07% แต่ผลตอบเทนก็ถือว่าไม่ดี โชคดีที่กองทุนเหล่านี้มีต้นทุนในเรื่องการหักภาษีรายได้มาช่วยด้วย เพราะฉะนั่นสำหรับคนที่เสียภาษีควรซื้อกองทุน LTF/RMF นะครับ 
  4. คำแนะนำถ้าต้องการซื้อ LTF จริงๆ ให้หากองทุนที่ไม่ปันผลจะดีกว่ากองทุนจะได้เอากำไรไปลงทุนต่อไม่ใช่ปันผลออกมา และการปันผลจะถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายด้วย 10% 
  5. สำหรับผมจากการลงทุน LTF มาตั้งแต่ปี 2555 ซึ่งถือจนครบ 5 ปีปฎิทินสามารถขายได้แล้ว แต่ก็คิดว่าควรลงทุนต่อ (กฏหมายใหม่ LTF ต้องถือ 7 ปีปฏิทินเริ่มปี 2559) ผมจึงเริ่มหันมาสนใจ RMF เพราะเราต้องการถือยาวอยู่แล้ว และ RMF นั่นก็มีข้อดีในเรื่องความหลากหลายของกองทุนที่ให้เราลงทุน เราสามารถสับเปลี่ยนไปลงทุนกองทุนตราสารหนี้ได้ในกรณีที่หุ้นเกิดวิกฤต ซึ่งต้องศึกษาต่อไปว่ามีความน่าสนใจอะไรบ้าง แล้วจะมาเล่าให้ฟังครับ  
ข้อมูล LTF Port วันที่ 6 มกรา 2560 

1/02/2560

1 เด้งตัวที่สองจาก JMT


หุ้นตัวแรกที่ได้ 1 เด้งคือ JMART เมื่อเดือนพฤษภาปี 2556 และตัวที่สองเป็นหุ้น JMT ซึ่งก็เป็นหุ้นลูกของ JMART นั่นเอง กว่าจะได้ตัวที่สองใช้เวลา 3 ปีกว่า วันที่ได้ 1 เด้งวันแรกของหุ้นตัวนี้เป็นราคาปิดวันที่ 22 ธันวาคม 2559 ปิดที่ราคา 20.50 บาท