หน้าแรก

1/26/2556

สรุปหุ้น ANAN


 

ชานนท์ เรืองกฤตยาประกาศชัดว่าจะสร้างคอนโดติดรถไฟฟ้าทุกสถานี
  • การระดมทุนครั้งนี้ 5,600 ล้านบาท (จ่ายค่าธรรมเนียมเหลือ 5,368 ล้าน) แบ่งเป็นรายย่อย 25% และสถาบัน 75% กว่า 40 สถาบัน (ใน 75% นี้เป็น สถาบรน ตปท.ประมาณครึ่งหนึ่ง)
  • มี 2 พอร์ต: พอร์ตแรกซื้อคอนโด ideo mobi 9,400 ล้านบาท จากสถาบันลงทุนสหรัฐ Prudential Financial ถอนการลงทุนไปเพราะสภาวะเศรษฐกิจสหรัฐปี 2008
  • เป็นเหมือนการซื้อแบรนด์ ideo ด้วย ตอนซื้อได้การสนับสนุนจากกรุงไทยในการปล่อยสินเชื่อ (เอาโฉลดคอนโดไปค้ำ) เพราะเห็นว่าพอร์ตมี backlog มาก
  • กำลังจะซื้ออีกพอร์ตหนึ่งกับมาผู้บริหารไม่ได้บอก เดาว่าบ้านจัดสรร ที่เคยขายไป
  • วันแรกที่ซื้อพอร์ต AD2 (AD2 เป็นบริษัทลูก 12 คอนโดของ ANAN) เจอ PPA ไป 1,500 ล้านบาท แต่สิ้น 3Q55 เหลือขาดทุนอยู่ 220 ล้านบาท (เพิ่มความเข้าใจ ลิงก์)
  • เปลือกนอกที่ทำให้ขาดทุนคือ PPA (ต้นปี56 จะหมด) กับดอกเบี้ยที่ไปขอสินเชื่อจาก KTB
  • ปี 2555 ยังขาดทุนอยู่ จะพลิกมากำไรประมาณกลางปี 2556 มั่นใจปีนี้กำไร   
  • ภาพ 1 คือแบ่งเงินระดมทุนมา 3,000 ล้าน คิดเป็น 56% เพื่อใช้หนี้ซื้อคืน AD2 ที่มีทรัพย์สินอยู่ 4,000 ล้าน ทำให้ D/E เหลือ 0.3
  • ภาพ 2 เหลืออีก 2,368 ล้าน เอามาซื้อพอร์ทเก่า ADO 500 ล้านบาทเป็รโครงการรอบสุวรรณภูมิมูลค่าโครงการ 7,300 ล้านบาท
  • ADO (พอร์ตบ้านแนวราบมี 7 โครงการ) มี Book Value 2,600 ลบ. เราซื้อ 930 ลบ. (Good Deal)
  • การซื้อ ADO กำหนดการชำระแบ่งเป็น 4 งวดเท่าๆ กัน งวดละ 250 ล้านบาท กำหนดชำระครั้งสุดท้ายในวันที่ 30 มิถุนายน 2556 
  • ideo 0-300 เมตร, elio 300-600 เมตร
  • เงินสดใน 4Q13 4,000-5,000 ลบ. รับรู้รายได้เกิน 1.2 หมื่นลบ. 3ปีกำไรเติบโต 25% 
  • ideo 20% เป็นนักศึกษา , ใน 1 ปี คนกรุงเทพเสียเวลาไปกับรถติด 44 วัน
  • ลักษณะการดำเนินงานธุรกิจ (ลิงก์)
  • ยอดขายโครงการ (ลิงก์)
วิดีโอแกะรอยหุ้น(ลิงก์) , Business Talk(ลิงก์)

1/23/2556

ยอดขาย iPhone ปี 2007-2012 บริษัท Apple

ยอดขาย iPhone บริษัท Apple
  • ปี 2007 - 1.389 ล้านเครื่อง (เริ่ม Q3)
  • ปี 2008 - 11.627 ล้านเครื่อง
  • ปี 2009 - 20.731 ล้านเครื่อง
  • ปี 2010 - 39.989 ล้านเครื่อง
  • ปี 2011 - 74.382 ล้านเครื่อง
  • ปี 2012 - 111.5 ล้านเครื่อง ปรับยอดอ้างอิงใหม่จาก 4Q12 (ลิงก์)
  • ปี 2012 - 126.3 ล้านเครื่อง
รายละเอียด (ลิงก์)

AEC : บริษัทไทยที่ลงทุนในพม่า

































หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ

ประเมินมูลค่าที่แท้จริงของ SNC

จากเดิมที่ผู้บริหารบอกว่าปี 2555 จะมีรายได้เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 20% แต่หลังจากที่งบ 3Q55 ออกมาไม่เป็นดังคาดเนื่องจากมีการลงทุนเพิ่มทั้งโรงงานและเครื่องจักรทำให้ออกมาปรับเป้าใหม่ว่ารายได้จะน้อยกว่าปีก่อนเล็กน้อย ทำให้ราคาหุ้นในปัจจุบันล่วงลงมาที่ 25.25 บาท (22 ม.ค. 56)

ลงทุนหุ้นไทยได้ประเมินมูลค่าที่แท้จริงของ SNC ไว้ที่ 46.58 - 54.40 บาทต่อหุ้น หลังจากที่โรงงานและเครื่องจักรพร้อมเดินเครื่องใน 4Q55 คาดว่าปี 2556 นี้จะกลับมากำไรมากขึ้นตามเป้าได้ 

จากราคาปัจจุบัน 25.25 บาท ทำให้มี Upside สูงถึง 84.48 - 115.45% 
และยังมีปันผลที่เฉลี่ยปีละ 5.5%

1/22/2556

เส้นทาง JMART กับการ Turnaround ถึง 2 ครั้ง

Turnaround  ครั้งแรก
จุดพลิกผันเกิดขึ้นจากวันหนึ่ง UCOM ซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายโทรศัพท์มือถือ Motorola เชิญคุณอดิศักดิ์ไปคุย แล้วบอกว่าจะตัดสินค้าจำนวนหนึ่งมูลค่า 60 ล้านบาทให้ Jaymart ขายแต่ผู้เดียว คุณอดิศักดิ์รับข้อเสนอทางธุรกิจโดยที่ตัวเองไม่ได้มีเงิน 60 ล้านบาท คุณอดิศักดิ์มีวิธีคิดพิเศษที่แตกต่างกับชาวบ้านทั่วไป คือเมื่อโอกาสมาถึงต้องรับไว้ก่อน แล้วเรื่องเงินทุนที่ยังเป็นข้อจำกัด ค่อยหาทางแก้ไขทีหลัง แต่เขาคิดว่ายังไรก็หาได้ สุดท้ายเขายืมเงิน 60 ล้านจากคนรู้จัก แล้วขายสินค้าได้หมด ได้กำไรเป็นเนื้อเป็นหนังครั้งแรกนี่เป็น Turnaround ครั้งแรกของชีวิต และคุณอดิศักดิ์เปลี่ยนทิศทางของ Jaymart มาขายโทรศัพท์มือถือเพียงอย่างเดียว

Turnaround  ครั้งสอง
คุณอดิศักดิ์กล้าทำอะไรเป็นคนแรกในวงการ Jaymart เป็นร้านขายโทรศัพท์มือถือรายแรกที่ทำโฆษณา วิธีคิดคือการทำอะไรเป็นคนแรกCost of entry จะต่ำสุด และการทำโฆษณาครั้งนั้นเป็น Turnaround ครั้งที่สองของตัวเขา เพราะทำให้ Jaymart ดังไปทั้งประเทศ

แกะดำ (ลิงก์)

1/21/2556

ยุทธศาสตร์ธุรกิจ JMART ปี 2556

อดิศักดิ์: ในปีนี้ JMART น่าจะโตมากเพราะปีที่แล้วโตมากที่สุดมีรายได้รวมทั้งปี 8 พันล้านบาท
  • ปีนี้ตั้งเป้าอัตราการเติบโตถึง 40% 
  • รายได้ส่วนใหญ่ สมาร์ทโฟน และแท็บเลต คิดเป็นสัดส่วน 80% 
  • ฟีเจอร์โฟนสัดส่วนอยู่ที่ 20% 
  • เตรียมขยายช็อปอีก 60 ช็อปและแฟรนไชส์อีกจำนวน 50 แห่ง
  • ทิศทางธุรกิจในปี 2556 ของ JMART คือ "กล้อง" เนื่องจากซัมซุงเตรียมขยายตลาดกล้องให้สามารถถ่ายรูปแล้วแชร์ภาพสู่สังคมโซเชียลเน็ตเวิร์กได้ทันทีโดยผ่านระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 
รายละเอียดฉบับเต็ม (ลิงก์)

1/18/2556

Warren Buffett : หัวใจในการซื้อกิจการ 3 ข้อ

เพื่อที่จะหาว่าธุรกิจใด น่าลงทุน? บัฟเฟตต์ก็จะใช้กฎ 3 ข้อแบบง่ายๆ คือ

1. มีราคาที่น่าสนใจ (มีราคาถูกอย่างยิ่ง)
2. มีความได้เปรียบในการแข่งขันอย่างถาวร (Durable Competitive Advantage - DCA) ซึ่งจะสามารถทำกำไรได้อีกนาน
3. เป็นธุรกิจที่บัฟเฟตต์สามารถเข้าใจได้ว่าจะแข่งขันกับคนอื่นได้อย่างไร? หรือเรียกง่ายๆ ว่าอยู่ใน “กลุ่มที่มีความสามารถในการแข่งขัน” (Circle of Competence)

ถ้าผ่านทั้งสามข้อนี้แล้ว บัฟเฟตต์ก็จะดูต่อว่า ผู้บริหารของบริษัทนั้นๆ รักและมุ่งมั่นทำธุรกิจของตนหรือไม่? ถ้าใช่ เขาจึงจะเริ่มศึกษาอย่างจริงจังว่าจะลงทุนในบริษัทนั้นๆ หรือไม่?

CPN : ประชุมผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2556

ประชุมผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2556 วันที่ 18 มกรา 2556
  • ผู้ถือหุ้นมีมติอนุมัติเช่าที่ดินบางใหญ่ ระยะเช่า 30 ปี (ผู้บริหารบอก 9-10 ปี คืนทุน)
  • ระยะเวลาสร้าง 26 เดือน เสร็จปี 2558 
  • ตามกำหนดหลังจากเซ็นทรัลบางใหญ่สร้างเสร็จอีก 3 เดือน มีรถไฟฟ้า
  • ผู้บริหารบอกว่ามีไม้เด็ดในการทำให้เซ็นทรัลบางใหญ่บูม แต่ยังไม่ได้บอกกลัวคู่แข่งรู้
  • ใช้เวลา 5 ปี เซ็นทรัลบางใหญ่จะประสบความสำเร็จแบบ CTW
  • การสร้างเซ็นทรัลบางใหญ่ไม่มีผลกระทบกับการจ่ายปันผล (คือน้อยอยู่แล้ว)
  • พื้นที่ส่วนหน้าเปิดโล่งไว้ก่อน (ตรงส่วนที่ติดกับถนนและตอม่อรถไฟฟ้า)
  • ผู้ถือหุ้นถามถึงที่ดินตรงรังสิต ผู้บริหารบอกยังบอกไม่ได้
  • เหตุผลที่เช่าเพราะเจ้าของไม่ขาย และให้เหตุผลว่าเงินจะได้ไม่ไปจมเนื่องจากการเปิดห้างต่อเนื่องตามนโยบายต้องใช้เงินลงทุนสูง
  • พูดถึงเรื่องเปิดห้างในต่างประเทศว่ามีแน่ แต่ไม่ได้ลงรายละเอียด

1/15/2556

ผลดี ผลเสีย เงินบาทแข็งค่ากับหุ้น

บทวิเคราะห์ บล.ฟินันเซียไซรัส
ปี 2555 เงินบาทแข็งค่ามากสุดเป็นอันดับ 2 ในเอเชีย 1.4% YTD รองจากริงกิตมาเลเซียที่แข็งค่ามากสุด 1.8% YTD ขณะที่ค่าเงินในภูมิภาคเอเชียแข็งค่าขึ้นเฉลี่ย 0.8% YTD

(+) ค่าเงินบาทที่แข็งค่าเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่นำเข้าวัตถุดิบจากตปท.เช่น TVO, BJC, HMPRO, THAI, AAV, กลุ่มเหล็ก (BSBM, TSTH, SSI), กลุ่มสื่อสาร (ADVANC, DTAC, TRUE, AIT, JAS, SAMTEL)

(-) เป็นลบต่อผู้ที่มีรายได้เป็นดอลลาร์เช่น กลุ่มอิเล็คทรอนิกส์ทั้งหมด,กลุ่มอาหารส่งออก (TUF, CPF, GFPT, CFRESH, TIPCO), KSL, STA, SITHAI, กลุ่มโรงแรม, กลุ่มโรงพยาบาล (BGH, BCH), THCOM และเป็นกลางกับกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีเพราะแม้มีรายได้เป็นดอลลาร์แต่ก็มีหนี้เงินกู้เป็นดอลลาร์ในสัดส่วนใกล้เคียงกัน ขณะที่กลุ่มที่ไม่ถูกกระทบคือกลุ่มบ้าน นิคมฯ และรับเหมาก่อสร้าง

รายละเอียดอื่น (ลิงก์)

ตัวอย่างการวิเคราะห์ธุรกิจโรงพยาบาลเกี่ยวกับ 5 force model

1. Threat of New Entrants ”LOW”
ถ้าคุณมีเงิน พันล้านแล้วอยากเปิดโรงพยาบาลคุณสามารถเปิดได้เลยไหม? คำตอบคือไม่ได้ นั้นเป็นเพราะว่าจะมีกฎระเบียบจากทางรัฐบาล ซึ่งอยู่ๆถ้าอยากเปิดคุณไม่สามารถเปิดได้ และการเปิดโรงพยาบาลนั้นต้องการบุคลากรที่มีคุณภาพหรือหมอนั้นเอง ซึ่งมีจำนวนอยู่น้อยยิ่งในต่างจัดหวังยิ่งไม่พอ ดังนั้นต้องบอกว่าธุรกิจนี้นั้นมีภัยคุกคามจากnew entrantsน้อยมากๆ นับเป็นข้อดีให้กับโรงพยาบาลต่างๆที่เปิดทำการอยู่แล้ว

2. Threat of Substitute Product ”LOW”
สินค้าทดแทนสำหรับโรงพยาบาล ก็คือคลีนิคทั่วๆไปซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นแบบเฉพาะทางเช่นคลินิกหมอฟัน,คลินิ คความงาม ซึ่งนับว่าไม่ส่งผลกับรายได้ของทางโรงพยาบาลมากนัก ถ้าเกิดคุณเป็นโรคต่างๆขึ้นมาคุณก็คงจะเลือกไปโรงพยาบาลมากกว่าที่มีเครื่อง มือและหมอเฉพาะทางต่างๆมากมาย

3. Bargaining Power of Buyer ”LOW”
ลองนึกถึงเวลาคุณป่วยแล้วไป โรงพยาบาล ค่าใช้จ่ายแต่ล่ะครั้งนั้นจะขึ้นอยู่กับว่าคุณหมอสามารถวินิจฉัยโรคอะไรได้ บ้าง ถ้าหมอวินิจฉัยได้หลายโรค สั่งให้เราไปX-RAYหรือMRI เราก็ต้องไปทำ และผลก็คือค่าใช้จ่ายที่แพงและคุณไม่สามารถต่อรองราคาได้ ถ้าหมอจ่ายยาให้เรา3ชนิดเราก็ต้องจ่ายทั้ง3ชนิด ยิ่งไปกว่านั้นไม่ว่าเศรษฐกิจจะดีหรือแย่ ถ้าคุณป่วยคุณก็ต้องมารักษาหรือบางทีช่วงที่เศรษฐกิจแย่ๆคนจะเป็นโรคเครียด และสุขภาพจะแย่กว่าเดิม ส่งผลดีต่อรายได้ของโรงพยาบาล และธุรกิจนี้ถือว่าสามารถสร้างLoyalty Customerได้ง่าย เพราะเวลาคุณไปรักษาจะมีบันทึกการรักษาไว้ และหมอจะนัดคุณมาอีกในครั้งต่อๆไป ขอสรุปว่าในธุรกิจนี้นั้นลูกค้าแทบไม่มีอำนาจในการต่อรองใดๆทั้งสิ้น ซึ่งส่งผลดีกับโรงพยาบาลมาก

4. supplier power “Medium to High”

จุดนี้ค่อนข้างซับซ้อน ขอพูดถึง ยาและเครื่องมือทางการแพทย์ ก่อน ซึ่งถ้าบริษัทยาสามารถคิดค้นยาใหม่ๆได้และนำไปจดสิทธิบัตร จะถือว่าบริษัทยามีอำนาจในการต่อรองเหนือโรงพยาบาลและสามารถเรียกราคาแพงๆ ได้ถ้าตัวยานั้นๆมีประสิทธิภาพดีจริงๆและโรงพยาบาลไม่สามารถหาสินค้าทดแทน ได้ ในทางกลับกันถ้าสิทธิบัตรหมดอายุ และบริษัทยาอื่นๆสามารถผลิตได้เช่นกัน โรงพยาบาลจะมีอำนาจในการต่อรองสูงกว่าบริษัทยาขึ้นมาทันที ต่อไปเกี่ยวกับเรื่องบุคลกร หรือ คุณหมอ ซึ่งทุกๆท่านน่าจะรู้กันดีว่าอาชีพนี้ได้เงินเดือนสูงมาก เพราะอะไร? เพราะจำนวนของหมอนั้นถือว่ามีน้อยอยู่ จึงทำให้มีอำนาจในการต่อรองเงินเดือนกับโรงพยาบาล ยิ่งถ้าเป็นหมอเก่งๆมีชื่อเสียง ที่สามารถเรียกลูกค้าเข้ามารักษาได้คิวยาวตลอดปี อำนาจในการต่อรองของโรงพยาบาลจะต่ำมากๆ จุดอ่อนเดียวของโรงพยาบาลก็คงเป็นเป็นเรื่องนี้ 

5. competitive rivalry “Low to Medium”
โดยส่วนใหญ่ใน1ชุมชนจะมีโรงพยาบาลเปิดได้ 1-2ที่ ดังนั้นผู้คนในชุมชนนั้นๆจะไม่มีทางเลือกมากนัก ถ้าป่วยแบบฉุกเฉินจริงๆก็ต้องไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดที่มีอยู่แห่งเดียว นั้นเอง ยิ่งไปกว่านั้นโดยส่วนใหญ่ทุกโรงพยาบาลจะมีการรักษาและราคาที่คล้ายๆกัน ไม่ค่อยมีความแตกต่างกันมากนัก ดังนั้นจึงไม่มีปัญหาเรื่อง”price war”ในธุรกิจนี้(มีแต่จะขึ้นราคาค่ารักษา) แต่การแข่งขันในธุรกิจนี้ในตัวเมืองอาจจะสูงกว่าในต่างจัดหวัด ซึ่งเป็นเพราะในตัวเมืองมีโรงพยาบาลหลายแห่งเปิดอยู่แต่ถ้าในต่างจัดหวัดบาง ที่จะมีโรงพยาบาลแห่งเดียวเท่านั้น


SUMMARY
สรุปโดยรวมแล้วต้องบอกว่าเป็นธุรกิจที่ดีมากๆ โดยจุดอ่อนข้อเดียวคือข้อที่4เรื่องบุคลากร อีกทั้งหลายๆประเทศในโลกและประเทศไทยกำลังเข้าสู่ช่วงสังคมผู้สูงอายุที่จะ มีโรคภัยต่างๆมากกว่าวัยหนุ่มและทำให้เข้าโรงพยาบาลบ่อยกว่าเดิม ดังนั้นหุ้นโรงพยาบาลนั้นเป็นทั่งDefensive&Growth Stockในตัวเดียวกันหมายความว่าdownsideจำกัดupsideในระยะยาวมีเยอะ ถ้าใครยังไม่มีอยู่ในพอร์ตลองหาซักตัวมาลงทุน เพราะวันนี้คุณเห็นว่าราคาแพง แต่วันหน้ามันอาจจะโคตรแพง


The Youngblood Way (ลิงก์)
  

1/14/2556

ธุรกิจเด่นปี 2556 จาก ม.หอการค้าไทย

ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย (ลิงค์)
วิเคราะห์ 10 อันดับธุรกิจเด่นในปี 2556 (คะแนนเต็ม 100)
อันดับ 1 ธุรกิจทางการแพทย์และความงาม ได้คะแนน 91.4
อันดับ 2 ธุรกิจด้านเทคโนโลยีสื่อสาร 89.2 คะแนน
อันดับ 3 ธุรกิจด้านสื่อโทรทัศน์  88.2 คะแนน
อันดับ 4 ธุรกิจสถานีบริการและจำหน่ายน้ำมัน แก๊ส NGV และ LPG ที่ 88.0 คะแนน
อันดับ 5 ธุรกิจพลังงานและพลังงานทดแทน 87.4 คะแนน
อันดับ 6 ธุรกิจด้านอาหาร 87.2 คะแนน
อันดับ 7 ธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่  87.0 คะแนน
อันดับ 8 ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ และธุรกิจด้านการศึกษา มีคะแนนเท่ากันที่ 86.4
อันดับ 9 สถาบันการเงิน ธุรกิจก่อสร้างและวัสดุก่อสร้าง มีคะแนนเท่ากันที่ 86.2
อันดับ 10 ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจด้านโลจิสติกส์ มีคะแนนเท่ากัน 85.2 คะแนน

1/13/2556

ธุรกิจโดดเด่นปี 2556

1.อุตสาหกรรมรถยนต์ไทย
2.ธุรกิจเทคโนโลยีสื่อสารและโทรคมนาคม
3.ธุรกิจทีวีดาวเทียมและเคเบิลทีวีแข่งขันและเป็นจุดเปลี่ยนฟรีทีวี
4.อุตสาหกรรมก่อสร้าง
5.ธุรกิจขนส่งจะเติบโตได้ดี
6.ธุรกิจโรงพยาบาลเอกชน - ธุรกิจนี้เด่นทุกปีครับ ควรมีติดพอร์ตไว้ 1 ตัวสำหรับลงทุนระยะยาว
7.ยางพาราทิศทางราคาจะปรับตัวสูงขึ้น

โพสต์ทูเดย์
รายละเอียดฉบับเต็ม (ลิงก์)

โลกอนาคตจากการพยากรณ์ของเรย์ เคิสเวล

1) สมองเราจะเชื่อมต่อกับคลาวด์ทำให้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ได้แม้อายุมาก
2) เราจะสามารถเลือกลบความจำบางช่วงได้
3) ปี 2029 คอมพิวเตอร์จะฉลาดเท่ามนุษย์
4) การพิมพ์สามมิติ เช่น พิมพ์เสื้อผ้า ของเล่นจะแพร่หลายมาก
5) ปี 2030 นาโนบอทจะซ่อมอวัยวะมนุษย์ได้
6) ปี 2037 คอมพ์ฯ ขนาดเท่าเม็ดเลือดจะเชื่อมกับสมองได้โดยไม่ต้องผ่าตัด


ที่มา: @sermsin_s

รายละเอียด ซีดาร์ โฮลดิ้งส์ ขายหุ้น INTUCH

ภาพโดย VIClinic

1/12/2556

คาดการณ์ยอดขายสมาร์ทโฟนปี 2556 ในไทย

  • ศูนย์วิจัยกสิกรไทย 8.1 ล้านเครื่องรองรับ 3G (รูปภาพ)
  • บริษัท IDC (ประเทศไทย) 10 ล้านเครื่องสมาร์ทโฟน (ลิงก์)
  • กรุงเทพธุรกิจ 12 ล้านเครื่องสมาร์ทโฟน (ลิงก์)

7ปี เทมาเส็ก-ชินวัตร หลังขายหุ้น INTUCH

  • 23 มกรา 49 ครอบครัวชินวัตรขายหุ้น INTUCH ทั้งหมดให้เทมาเส็ก 1,487,740,000 หุ้นหรือร้อยละ 49.595 มูลค่าหุ้นละ 49.25 บาทรวมเป็นเงิน 73,000 ล้านบาท
  • 7 ปี ตั้งแต่ 2H48 - 1H55 เทมาเส็กได้เงินปันผลจาก INTUCH รวมหุ้นละ 25.25 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 75,909 ล้านบาท    
 กรุงเทพธุรกิจ (ลิงก์)

1/08/2556

Ookbee บริษัทลงทุนของ INTUCH

ธุรกิจใหม่ของ INTUCH คือ Venture capital หรือ VC
หนึ่งในบริษัทที่ INTUCH ให้เงินไปลงทุนคือบริษัท Ookbee ขายสื่อสิ่งพิมพ์ออนไลน์
บันทึกจากรายการแกะรอยหยักสมอง (ลิงก์)

  • ตลาดสื่อสิ่งพิมพ์ทุกประเภทในเมืองไทยมีมูลค่ากว่า 20,000 ล้านบาท 
  • ในประเทศไทยมีมูลค่าตลาด e-book รวม 200 ล้านบาท และ Ookbee มี market share 85% ของตลาด 
  • Ookbee เปิดให้บริการมาแล้ว 22 เดือน รายได้ 12 เดือนแรกอยู่ที่ 15 ล้านบาท 12 เดือนหลังโตเป็น 100 ล้านบาท 
  • รายได้ Ookbee ส่วนใหญ่มาจาก iPad แต่มีผู้ใช้มากสุดบน Android 
  • ตอนนี้ขยายธุรกิจแล้วไปที่เวียดนามและมาเลเซีย หนังสือเป็นภาษาท้องถิ่น 
  • ฐานผู้ใช้ Ookbee ตอนนี้รวมมี 2.5 ล้านคน ส่วนใหญ่อยู่ในไทย ส่วนเวียดนามและมาเลเซียยังไม่ถึง 1 แสนคน ยังโตได้อีกมาก 
  • มูลค่ารวมของบริษัท Ookbee ตอนนี้ประมาณ 240 ล้านบาท 
  • VC ในเมืองไทยของ Ookbee คือ INTUCH  
  • INTUCH ถือหุ้น 25% ใน Ookbee โดยการออกหุ้นใหม่ คิดเป็นเงินทั้งสิ้น 57 ล้านบาท (INTUCH ประเมินบริษัท Ookbee ตอนนั้นที่ราคา 200 ล้านบาท)

1/06/2556

มาร์จิ้นอุปกรณ์ส่วนเสริมของมือถือ

แบตสำรอง 10-20%
เคสมือถือ 30-50%
พวกของจุกจิก สายห้อย จุกหูฟัง 50-100%
ฟิล์ม 100-200% 

มือถือ ร้านส่ง 2-7% (เจมาร์ท 10-11%)
ขอบคุณ Papayatop

1/03/2556

เศรษฐกิจไทย ปี 2556 โดย วีรพงษ์ รามางกูร

เรื่องที่ทำให้เศรษฐกิจดี

เรื่องแรก : ราคาน้ำมันมีแนวโน้มลดลง
   สหรัฐอเมริกามีเทคโนโลยีใหม่ที่จะระเบิดชั้นหินดินดานลึก ลงไปใต้ดินถึงกว่า 2 กม. แล้วอัดน้ำลงไปเอาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติขึ้นมาใช้ในเชิงพาณิชย์ได้เป็นผลสำเร็จ และสามารถนำมาใช้ทดแทนการนำเข้าน้ำมันจากตะวันออกกลางมากขึ้นเรื่อยๆ ปริมาณการผลิตจะแซงหน้าประเทศซาอุดีอาระเบียได้ในปี 2556 และอาจจะกลายเป็นผู้ส่งออกก๊าซธรรมชาติและน้ำมันดิบในอนาคตข้างหน้า

   บัดนี้เริ่มเห็นเป็นรูปธรรมแล้ว เพราะซาอุดีอาระเบียได้ประกาศลดการผลิตของตนลงวันละ 1 ล้านบาร์เรล เมื่อเป็นเช่นนี้สัญญาณก็ค่อนข้างชัดว่าราคาน้ำมันน่าจะมีแนวโน้มลดลง การที่สหรัฐอเมริกาเริ่มบอกขายก๊าซธรรมชาติระยะยาวให้กับประเทศที่ทำสัญญา เขตการค้าเสรีกับอเมริกาและประเทศที่เป็นพันธมิตรที่สำคัญ ซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วย ก็น่าจะเป็นข่าวดีกับประเทศของเรา เพราะค่าเงินดอลลาร์น่าจะแข็งขึ้น ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยทางการของธนาคารกลางประกาศว่าจะคงที่ ซึ่งอาจถึง 0.25 เปอร์เซ็นต์ไปอีก 2 ปี

เรื่องสอง การลงทุนจากญี่ปุ่น
- ญี่ปุ่นมีปัญหาจะต้องปิดโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในประเทศทั้งหมดใน 18 ปีข้างหน้าและต้องหันกลับมาใช้พลังงานธรรมดา ซึ่งน่าจะทำให้ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าของญี่ปุ่นคงต้องสูงขึ้นอย่างมาก สร้างความหวั่นไหวให้กับภาคเอกชนของญี่ปุ่น
- ปัญหาความขัดแย้งเรื่องเกาะเซนกากุ หรือที่จีนเรียกว่าเกาะเตียวหยู เป็นสัญลักษณ์ของความขัดแย้ง อันมีรากฐานมาจากความเป็นชาตินิยมของทั้งสองฝ่าย

ทั้งสองปัจจัยเป็นสาเหตุให้ภาคเอกชนญี่ปุ่นหาทางโยกย้ายอุตสาหกรรมออกจาก ญี่ปุ่นและจีน ซึ่งน่าจะเป็นโอกาสดีของประเทศไทย ถ้าเราเร่งปรับปรุงพัฒนาถนนหนทาง ท่าเรือน้ำลึก สนามบินโดยเร็ว เพื่อรองรับโอกาสที่กำลังจะเกิดขึ้น

เรื่องสาม จีนขยายเศรษฐกิจ ไทยได้ประโยชน์
   ผู้ที่จะได้ประโยชน์จากการที่เศรษฐกิจของจีนยังเดินหน้าต่อไปทั้งๆ ที่ค่าจ้างแรงงานสูงขึ้นอย่างมาก ขณะนี้สูงกว่าประเทศของเราแล้ว ก็น่าจะเป็นประเทศในกลุ่มอาเซียนเก่า โดยเฉพาะประเทศไทยคงเป็นประเทศที่น่าจะได้เปรียบที่สุด เพราะที่ตั้งของประเทศอยู่บนผืนแผ่นดินใหญ่ ไม่ต้องลงทะเลอย่างอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์

เรื่องสี่ พม่าเปิดประเทศ ไทยได้ประโยชน์
   การเปลี่ยนนโยบายครั้งใหญ่ของประเทศเมียนมาร์ จะพาประเทศก้าวไปสู่ประชาธิปไตย จะพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศก็คงไม่หนีประเทศไทยที่น่าจะได้รับประโยชน์ร่วมกับประชาชนชาวพม่า ในฐานะที่เป็นประเทศที่มีเงินทุน มีทรัพยากรมนุษย์ มีที่ตั้งเป็นประตูไปสู่พม่า รวมทั้งความสัมพันธ์ทางการทูตและความสัมพันธ์ระหว่างประชาชน


เรื่องห้า รถไฟฟ้าความเร็วสูง
   ยุทธศาสตร์การพัฒนาของภูมิภาค ซึ่งในระยะข้างหน้านี้เน้นในเรื่องการเชื่อมโยงภายในภูมิภาค หรือที่เรียกกันว่า "Connectivity" โดยมีจีนและญี่ปุ่น ซึ่งมีเงินทุนและเครือข่ายการตลาดที่เข้มแข็งกระจายไปทั่วโลก เป็นหัวเรือใหญ่ที่จะทะลุเชื่อมโยงปักกิ่ง เฉิงตู คุนหมิง เวียงจันทน์ กรุงเทพฯ กัวลาลัมเปอร์ ไปถึงสิงคโปร์

   ขณะเดียวกันญี่ปุ่นก็ผลักดัน การเชื่อมโยงทะเลจีนใต้กับทะเลอันดามัน เพราะช่องแคบมะละกาที่ดูเหมือนกว้าง แต่ร่องน้ำสำหรับเดินเรือแคบนิดเดียว ไม่กี่ไมล์ทะเล เรือเดินสมุทรต้องรอคิวผ่าน 2-3 วัน และนับวันจะมีการจราจรคับคั่งยิ่งขึ้น ญี่ปุ่นผลักดันให้เปิดท่าเรือน้ำลึกที่เมืองทวาย แล้วมีทางด่วน ทางรถไฟทั้งธรรมดาและรถไฟความเร็วสูง ระยะแรกเชื่อมท่าเรือน้ำลึกมาบตาพุดกับแหลมฉบังเข้ากับท่าเรือที่เมืองทวาย เปิดประตูสู่พม่า บังกลาเทศ และอินเดีย

   ยุทธศาสตร์เชื่อมโยง เหนือ-ใต้ และตะวันออก-ตะวันตกมาพบกันที่ประเทศไทยของเรา รัฐบาลไทยขานรับในขณะที่เราสะสมเงินออมมานานกว่า 15 ปี เอกชนไทยเข้มแข็งพอสมควร โอกาสอย่างนี้เพิ่งเกิดในระยะ 5-6 ปีที่แล้ว เรามัวแต่ยุ่งๆ อยู่กับการไล่ล่ากัน จึงไม่มีใครคิดถึง

เรื่องหก นักท่องเที่ยวจากจีนเยอะขึ้น
   เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวเร็วกว่าที่คาด เมื่อคราวเกิดน้ำท่วมใหญ่ เริ่มจากการท่องเที่ยวฟื้นตัวก่อนเพราะกองทัพนักท่องเที่ยวจีน ทะลักเข้ามาแทนนักท่องเที่ยวญี่ปุ่น นักท่องเที่ยวยุโรปและอเมริกาเป็นจำนวนมาก เพราะเศรษฐกิจเขายังไม่ชะลอตัวอย่างที่คิด ยิ่งจีนกับญี่ปุ่นมีความตึงเครียดทางการเมือง นักท่องเที่ยวก็หันมาประเทศอาเซียนมากขึ้น และในบรรดาอาเซียน ประเทศไทยก็เป็นศูนย์กลางที่จะต่อไปนครวัด ไปย่างกุ้ง มัณฑะเลย์ ไปเวียงจันทน์ หลวงพระบาง ไปเวียดนาม ทั้งฮานอย และไซ่ง่อน

 เรื่องที่เป็นตัวถ่วงและปัญหา
เรื่องแรก
   เรื่องการเมืองที่ทะเลาะกันไม่เลิก การใช้กำลังทหารปฏิวัติยึดอำนาจ

เรื่องสอง
   การทะลักเข้ามาของเงินทุนระยะสั้น หรือที่เรียกว่า "hot money" จะรุนแรงขึ้น ถ้าความแตกต่างระหว่างดอกเบี้ยเงินบาทกับดอกเบี้ยเงินดอลลาร์ยังจะสูงอยู่ อย่างนี้ เพราะความกลัว "เงินเฟ้อ" ซึ่งไม่น่าจะมีจนเกินไปของทางการ เงินบาทอาจจะแข็งขึ้นอย่างรวดเร็ว จนเศรษฐกิจทั้งระบบปรับตัวไม่ทัน โอกาสที่พูดมาทั้งหลายก็อาจจะไม่เกิด

รายละเอียดฉบับเต็มที่ prachachat.net

1/01/2556

เงินประเทศไทยสิ้นปี 2555


ข้อมูลนี่ได้จากการที่คุณพันศักดิ์พูดคุยกับผู้ว่าแบงค์ชาติ 
เงินสำรองสกุลเงินต่างประเทศ 750,000 ล้านเหรียญ ถ้ารวม forward position ซื้อขายล่วงหน้า (เพื่ออุ้มเงินบาทไม่ให้แข็งตัว) มีเงินสำรองทั้งหมด 1 ล้านล้านดอลล่าร์ และประเทศมีเงินฝากในระบบธนาคาร 8 ล้านล้านบาท ปล่อยกู้ 7ล้านล้านบาท เหลือ 1 ล้านล้านบาทไปซื้อพันธบัตรรัฐบาล

ปล. เงินถูกสะสมมาเป็นระยะเวลา 15ปี (ตั้งแต่วิกฤตต้มยำกุ้ง) จากผู้ว่าการแบงค์ชาติในรายการสยามวาระ

ที่มา:  รายการ Wake Up Thailand ของ Voice TV สัมภาษณ์คุณพันศักดิ์ วิญญรัตน์ ประธานที่ปรึกษานโยบายของรัฐบาล (ลิงก์)