หน้าแรก

5/23/2556

CPN กับการลงทุนในต่างประเทศ

การลงทุนในต่างประเทศ CPN วางงบปีละ 1 พันล้านบาทในการลงทุน โดยแผนระยะยาวบริษัทคาดว่าในอีก 2 ปีข้างหน้า จะมีสาขาในต่างประเทศ 2 แห่ง และอนาคตตั้งเป้าหมายจะมีสาขาในต่างประเทศ รวม 7 แห่ง ครอบคลุม 4 ประเทศ ได้แก่มาเลเซีย พม่า เวียดนาม และอินโดนีเซีย ซึ่งลักษณะการลงทุนจะเป็นการเข้าไปร่วมทุนกับนักธุรกิจในพื้นที่นั้นๆ ซึ่งการลงทุนในแถบอาเซียนเพื่อรองรับการเปิดเออีซี

ภายในเดือนมิ.ย. นี้ บริษัทจะได้ข้อสรุปพร้อมเซ็นสัญญากับพันธมิตรทางธุรกิจในการเปิดห้างสรรพสินค้าในประเทศมาเลเซีย 1 แห่ง โดยจะใช้งบประมาณ 5,800 ล้านบาท และคาดจะก่อสร้างแล้วเสร็จภายในปี 2558 บริษัทเซ็นทรัลจะใช้เงินลงทุนประมาณ 3,000 ล้านบาท โดยจะใช้เงินลงทุนกระแสเงินสด และกู้เงินกับสถาบันการเงินท้องถิ่นประมาณ 1,000 ล้านบาท และบริษัทยังมีแผนธุรกิจร่วมทุนศูนย์การค้าในอินโดนีเซีย และเวียดนาม ซึ่งจะได้ข้อสรุปในปลายปีนี้

อ้างอิง (ลิงก์)

5/19/2556

Deferred tax (ภาษีเงินได้รอการตัดบัญชี)

ภาษีเงินได้รอตัดบัญชี เป็นหลักบัญชีที่ต้องการให้การแสดงรายงานเป็นไปตามหลักการเรื่อง การจับคู่รายได้กับค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับรายได้ (Matching concept)

1. ภาษีเงินได้รอตัดบัญชี(สินทรัพย์) ภาษีที่ต้องได้รับคืน แต่ยังไม่ได้รับรู้ในงบกำไรขาดทุน
2. ภาษีเงินได้รอตัดบัญชี(หนี้สิ้น) ภาษีที่ต้องจ่าย แต่ยังไม่ได้รับรู้ในงบกำไรขาดทุน

อ้างอิง (ลิงก์)

5/18/2556

SNC : Opp day May 7, 2013 part 2 Q&A

  • ภาระภาษีที่แท้จริง (effective tax rate) เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วเนื่องจากใน Q1 ปีนี้มีการใช้มาตรฐานการบัญชีฉบับใหม่ เพราะฉะนั้นในงบกำไรขาดทุนจะมีปัจจัยเพิ่มขึ้นมาอีก 1 รายการคือ ภาษีเงินได้รอการตัดบัญชี (Deferred tax)
  • effective tax rate จะอยู่ประมาณ 7% บวกลบ (ไม่เกิน 10)
  • Q2/56 เห็นการชลอตัวของลูกค้าบางรายเหมือนกัน ที่เกิดเนื่องจากยังมีสินค้าสต็อกอยู่ แต่ถ้าถามว่าเทียบกับ Q1/56 เป็นยังไง ผม(สามิตต์ ผลิตกรรม)ก็พยายามลุ้นให้ดีกว่านะครับ
  • ผลกระทบบาทแข็งไม่ได้มีผลกระทบกับ SNC โดยตรงเนื่องจากเราขายด้วยเงินบาทเกือบหมด แต่ถ้าเงินบาทแข็งค่านานจะมีผลกับลูกค้า เนื่องจากถ้าเขามีหลายโรงงานในหลายประเทศ อาจเปลี่ยนการผลิตไปยังประเทศอื่นได้ แต่ที่คุยกับลูกค้าตอนนี้ก็ยังไม่มีอะไร แต่ก็จะเป็นประโยชน์กับเราในเรื่องการซื้อเครื่องจักร ที่กำลังจะลงทุน
  • SSMA หลักๆ ตั้งมาเพื่องานเหล็กของรถยนต์ ผลการทุนมาจากการยังไม่ได้ order เนื่องจากพึ่งเปิดต้องรอรอบ model ใหม่มองไว้ในปีหน้าสำหรับซูซุกิ และน่าจะถึงจุดคุมทุนใน Q4/56
  • SCAN ขาดทุนเพราะยังไม่มีรายได้ แต่มีค่าใช้จ่ายแล้วจากค่าบุคลากรเป็นหลัก ในปีหน้าคาดว่าจะรับรู้รายได้ประมาณ 300-400 ล้านบาท และเติบโตขึ้นตามลำดับ
  • TopTech ในปีนี้ตั้งเป้ารายได้ 200 ล้านบาท Q1 ทำได้ 36 ล้านบาท Q2 จะเพิ่มขึ้นและซื้อเครื่องจักรเพิ่ม จะทำให้ Q3, Q4 ทำรายได้เพิ่มขึ้นอีก และคงรักษาอัตรากำไรสุทธิที่ 20%
  • Techno pipe ทำธุรกิจชิ้นส่วนท่อทองแดง จริงๆ แล้ว SNC ทำธุรกิจนี้อยู่แล้วแต่การตั้งบริษัทนี้ขึ้นเพื่อรองรับฐานลูกค้าใหม่ โดยได้เครื่องจักรและรายการสินค้า (inventory) ของคู่ค้ามาในราคาที่ถูกมาก 30 ล้านบาท (คู่ค้าต้องการเลิกกิจการนี้เพราะไม่คุ้มสำหรับเขา)
  • รายได้ในปี 2013 จะโต 10-15% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว
  • TopTech จะยังไม่เข้าตลาดหุ้นในปลายปีนี้ เพราะรายได้ยังน้อย (เคยมีข่าวลือ)
  • ลูกค้าหลักของ TopTechอยู่ในอุตสาหกรรมชิ้นส่วนรถยนต์ และชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้าบางส่วน
  • ปันผลอาจจะไม่สูงเหมือนเดิม เนื่องจากมีการลงทุน
  • SSMA คาดว่าในปีนี้จะมียอดขาย 300 ล้านบาท และในปีหน้า 500 ล้านบาท Q4 ปีนี้จะพยายามพลิกให้ได้จุดคุ้มทุน (break even)
  • เรื่องการซื้อกิจการมีหลายดีล แต่ถ้ายังไม่น่าสนใจก็ยังไม่ซื้อ
  • คอยล์ร้อนมีคนใช้อลูมิเนียมบ้างแล้ว อย่างชาร์ป ซัมซุง แอลจี ส่วนค่ายญี่ปุ่นกำลังศึกษาอยู่ คอยล์เย็นจะเกิดหยดน้ำตลอดจึงยังไม่มีคนใช้เนื่องจากอลูมิเนียมไม่ถูกกับน้ำจะทำปฏิกิริยากัน 
  • โครงการ SCAN ค่าใช้จ่ายบุคลากร ค่าเสื่อมราคา ดอกเบี้ยจ่าย ภาพรวมขาดทุน 35 ล้านบาท และปีต่อไปก็ยังไม่ได้กำไร ต้องใช้เวลา จะเห็นออกดอกออกผลจริงๆ ปี 2558
  • โครงการ SCAN กับ TopTech กำลังยื่น BOI ยังคงเป็นฉบับเดิม เท่าที่ทราบ BOI ฉบับใหม่ยังไม่ได้ประเทศ
  • Q1 รายได้ OEM เพิ่มขึ้น 30% เมื่อเทียบกับ Q1 ปีที่แล้ว เนื่องจากปีที่แล้ว Q1 ลูกค้ารายหลักรายหนึ่งเปลี่ยน model แต่ใน Q1 ไม่เสร็จไปเสร็จเอาเดือน 5, 6 แต่สำหรับปีนี้ model ใหม่สตาร์ทเต็มตั้งแต่มกราเลยทำให้ยอดรายได้เพิ่มขึ้น
  • SCAN การลงทุนอยู่ที่ 400 ล้านบาท ค่าเสื่อมสำหรับโรงงานอยู่ที่ 30 ปี เครื่องจักร 10 ปี โดยเฉลี่ยเครื่องจักรลงทุน 300 ล้านบาท 10 ปีก็ค่าเสื่อม 30 ล้านบาท 
  • เงินกู้ที่เห็นอยู่ในงบ 40 ล้านบาทเป็นของบริษัท TopTech ที่ไปร่วมทุนมา และในอนาคตคิดว่าถ้าจะกู้ ก็จะกู้ในประเทศ
  • ปัจจัยเสี่ยงที่เห็นชัดเจน คือ คู่แข่งของลูกค้าออก model ใหม่มาทำให้มีปัญหาในการแข่งขัน ส่วนเรื่องของระยะยาวมากๆ คือในเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยน ส่วนความเสี่ยงในเรื่องพนักงานและราคาวัตถุดิบได้แก้ไขไปเรียบร้อยแล้ว 
  • งาน OEM ลูกค้าหลักก็ ฟูจิซึ และก็ชาร์ปเป็นลำดับที่ 2 
  • รายได้ของชิ้นส่วนรถยนต์ส่วนใหญ่มาจากในรถบิ๊กอัพ 65-70% ที่เหลือเป็นรถยนต์นั่ง สำหรับลูกค้าใน 4 เดือนที่ผ่านมาในรถบิ๊กอัพเขาตกจากเป้าหมายไป 10-15% แล้ว
  • มีแผนที่จะกู้แบงค์ 400 ล้านบาท น่าจะเสียดอกเบี้ย 6% คืนเงินต้นประมาณ 2-3 ปี
  • ธุรกิจ Freezer (สำหรับอุตสาหกรรมอาหาร) ตัวเล็กราคา 1 ล้านบาท ตัวใหญ่ราคา 4 ล้านบาท เราผลิตได้ 20-30 เครื่องต่อปี
  • ตอนนี้ยังไม่มีโครงการที่จะไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้าน
  • Cash Cycle มาจาก ลูกค้า(เครดิตเทอม 35วัน), เจ้าหนี้(เครดิตเทอม 60 90 120วัน), สินค้า การรับก่อนจ่ายที่หลังทำให้ Cash Cycle ติดลบ
  • โครงการพัฒนาเครื่องปรับอากาศร่วมกับลูกค้า จะเห็นชัดเจนช่วงปลายปีนี้ 
  • โครงการ Employee Joint Investment Program : EJIP พนักงานเข้าร่วมได้เมื่อทำงานครบ 3 ปี โดยการซื้อหุ้นนั้นพลักงานออกครึ่งหนึ่ง บริษัทออกให้ครึ่งหนึ่ง เมื่อครบปีพนักงานสามารถขายได้ 

5/16/2556

CPN ขายหุ้นออกใหม่แก่ PP และมีรายใหญ่บิ๊กล๊อต

วันที่ 15 พฤษภาคม 56 ทาง CPN มีการเสนอขายหุ้นออกใหม่แก่บุคคลในวงจำกัด (private placement) จำนวน 130.4 ล้านหุ้นใหม่และมีการขายบิ๊กล๊อตจำนวน 83.4 ล้านหุ้นเดิม (ขายโดยคุณหญิง สุจิตรา มงคลกิติ และคุณสุกัญญา พร้อมพันธ์) ให้กับนักลงทุนสภาบันและนักลงทุนเฉพาะเจาะจงที่ราคา 50.75 บาท

การเสนอขายหุ้นออกใหม่แก่บุคคลในวงจำกัด (private placement) จำนวน 130.4 ล้านหุ้น (2.9% ของทุนเรียกชำระแล้ว) เป็นไปตามคาด แต่หุ้นจำนวน 83.4 ล้านหุ้น (1.9% ของทุนเรียกชำระแล้ว) ขายโดยสมาชิกตระกูลจิราธิวัฒน์นั้นทำให้เราประหลาดใจเล็กน้อย การขายโดยผู้ถือหุ้นใหญ่อาจสร้างมุมมองเชิงลบที่มีต่อหุ้นในระยะสั้น แต่ทำให้สภาพคล่องในการซื้อขายเพิ่มขึ้นซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงโดยรวมและส่ง ผลให้ WACC ลดลงในที่สุด

บัวหลวง (ลิงก์)

5/14/2556

CPN ร่วมทุนกลุ่ม I-Berhad เตรียมสร้างศูนย์การค้าในมาเลเซีย


CPN ทำสัญญาร่วมทุนกับ บริษัท I-City Properties Sdn. Bhd. (ICP) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ I-Berhad เพื่อจัดตั้งบริษัทร่วมทุน โดย ICP จะถือหุ้นร้อยละ 40 และบริษัทจะถือหุ้นร้อยละ 60 ผ่านบริษัทย่อยที่จะจัดตั้งขึ้นในประเทศมาเลเซีย

บริษัทร่วมทุนดังกล่าวจะพัฒนาศูนย์การค้ามูลค่าการลงทุนประมาณ 580 ล้านริงกิต หรือประมาณ 5,800 ล้านบาท ในโครงการ i-City ซึ่งเป็นเมืองเทคโนโลยีแห่งใหม่ของมาเลเซียในเขต 7 ของเมืองชาห์อลัม รัฐสลังงอร์

โครงการร่วมทุนเพื่อพัฒนาศูนย์การค้านี้อยู่บริเวณฝั่งตะวันตกของรัฐสลังงอร์  บริษัทจะเป็นผู้ควบคุมการออกแบบพัฒนาและบริหารศูนย์การค้าดังกล่าวบนที่ดินกรรมสิทธิ์ขนาด 11.12 เอเคอร์ ประกอบด้วยพื้นที่ใช้สอยประมาณ 138,000 ตารางเมตร และพื้นที่ขายประมาณ 89,700 ตารางเมตร โดยคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างภายในปี 2557 และจะเปิดให้บริการภายในปี 2559

สำหรับเงินลงทุนในโครงการจำนวนรวมประมาณ 5,800 ล้านบาท  โดยบริษัทจะใช้เงินทุนหมุนเวียนจากการดำเนินการ และ/หรือเงินกู้ยืมจากธนาคาร และ/หรือการออกหุ้นกู้ และ/หรือการออกและเสนอขายหน่วยลงทุนของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์

ICP เป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ในเครือของ บริษัท I-Berhad  โดย บริษัท I-Berhad เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เบอร์ซ่า มาเลเซีย  ทั้งนี้ ICP เป็นบริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในโครงการ i-City ซึ่งประกอบด้วย ศูนย์การค้า อาคารสำนักงานไซเบอร์เซ็นเตอร์  โรงแรม อาคารที่พักอาศัย และพื้นที่ค้าปลีกต่างๆ บนที่ดินกรรมสิทธิ์รวม 72 เอเคอร์ ตั้งอยู่บนทางหลวงสายหลักของเมือง

ตลาดหลักทรัพย์ (ลิงก์) , ข่าวต่างประเทศ (ลิงก์)

5/12/2556

สถิติท่องเที่ยวเดือนเมษาปี 56

สรุปสถิติการเดินทางท่องเที่ยวระหว่างประเทศเดือนเมษาปี 56
  • เดือนเมษายนปี 56 มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ จำนวน 2,013,012 คน เพิ่มขึ้น 326,744 คน
    หรือคิดเป็น 19.38% yoy 
  • ภูมิภาคที่มีอัตราการขยายตัวสูงสุด คือ เอเชียตะวันออก (+28.14%)
  • ในเดือนเมษายน 56 ที่มีจำนวนสูงกว่า 2 ล้านคนต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 นับจากเดือน
    พฤศจิกายน 55 
  • สำหรับภูมิภาคที่นักท่องเที่ยวหดตัว ประกอบด้วย โอเชียเนีย (-6.94%) เอเชียใต้ (-5.98%) แอฟริกา (-5.88%) และตะวันออกกลาง (-5.45%) ตามลำดับ
  • นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเดือนเมษายน 56 สูงสุด 5 อันดับแรก
    1. จีน
    2. มาเลเซีย (เดือนก่อนเป็น รัสเซีย)
    3. รัสเซีย (เดือนก่อนเป็น มาเลเซีย)
    4. ญี่ปุ่น
    5. เกาหลี  

5/11/2556

119 ปี Benjamin Graham: The Dean of Wall Street


Benjamin Graham เกิดที่อังกฤษเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม ค.ศ. 1894 ครอบครัวของเกรแฮมย้ายไปตั้งรกรากที่อเมริกาตอนที่เขาอายุเพียง 1 ขวบ ในวัยเด็ก ครอบครัวมีฐานะค่อนข้างดี แต่พ่อของเขาเสียชีวิตตอนเกรแฮมยังเล็ก ฐานะทางบ้านก็เริ่มแย่ลงเรื่อยๆ อาศัยที่เป็นเด็กเรียนเก่ง เกรแฮมได้เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย และเรียนจบด้วยผลการเรียนดีมากจนถูกทาบทามให้เป็นอาจารย์จาก 3 คณะพร้อมกัน แต่เขาเลือกที่จะไปทำงานเป็นนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ที่ Wall Street

ในสมัยนั้น นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ถูกเรียกว่า 'นักสถิติ' เป็นงานค้นหาข้อมูลอยู่หลังบ้านที่น่าเบื่อและไม่มีใครสนใจ แต่เกรแฮมก็สั่งสมความเชี่ยวชาญในงานนี้จนได้กลับไปสอนวิชา 'การวิเคราะห์หลักทรัพย์ขั้นสูง' ที่โคลัมเบีย เป็นวิชาที่เปิดสอนภาคค่ำ จึงได้รับความนิยมมากในบรรดานักการเงินหนุ่มสาวที่ทำงานใน Wall Street ในบรรดาลูกศิษย์ของเขา มีทั้ง Sir John Templeton และ Warren Buffet โดยบัฟเฟต์ยกย่องเกรแฮมว่า เป็นผู้ที่มีอิทธิพลกับตัวเขามากเป็นอันดับ 2 รองจากคุณพ่อ

การได้เป็น "อาจารย์" ของนักการเงินชั้นเซียนจำนวนมากนี่เอง ทำให้คุณปู่เกรแฮมได้รับยกย่องให้เป็นคณบดีแห่งวอลล์สตรีท (The Dean of Wall Street)
นอกจากงานประจำและงานสอน เกรแฮมยังได้เขียนหนังสือ 2 เล่มที่โด่งดังมาก ได้แก่

1. Security Analysis ร่วมกับ David Dodd ในปี 1934 ซึ่งได้กลายเป็นคัมภีร์การวิเคราะห์หลักทรัพย์และตำราเรียนระดับตำนานที่ได้รับความนิยมทั่วโลก เล่มนี้หนา 700 หน้า และอ่านค่อนข้างยาก แต่ก็เป็นหนังสือที่นักวิเคราะห์หุ้นทุกคน 'ต้องอ่าน'

2. The Intelligent Investor ตีพิมพ์ปี 1949 ซึ่งเป็นหนังสือที่แนะนำการการวิเคราะห์หุ้นและจัดพอร์ตสำหรับนักลงทุนทั่วไปได้อย่างยอดเยี่ยม เล่มนี้ก็หนา 640 หน้า แต่อ่านง่ายกว่ามาก เหมาะสำหรับนักลงทุนทั่วไปที่อยากรู้วิธีการจัดพอร์ตเงินลงทุนของตนเอง

สิ่งที่เกรแฮมเน้นย้ำเสมอก็คือว่า 'ให้คิดว่าการลงทุนในหุ้น คือ การเป็นเจ้าของธุรกิจ นักลงทุนที่ฉลาดจึงไม่ควรใส่ใจกับภาวะตลาดที่มีขึ้นลงในระยะสั้น แต่ควรวิเคราะห์เพื่อเลือกลงทุนในธุรกิจที่จะทำกำไรได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว ทั้งนี้ นักลงทุนที่ฉลาดอาจจะใช้จังหวะที่ตลาดหุ้นลงแรงเข้าไปเลือกเก็บหุ้นดีที่ได้เล็งไว้แล้วในราคาถูก'

เกรแฮมรักอาชีพนี้มาก และเป็นผู้ผลักดันให้ 'นักวิเคราะห์หลักทรัพย์' เป็น 'วิชาชีพ (Profession)' ที่ต้องผ่านการทดสอบและต้องได้รับใบอนุญาต ทำนองเดียวกับผู้สอบบัญชี เขาเสนอความคิดนี้ในปี 1943 แต่ต้องรออีก 20 ปี สิ่งที่เกรแฮมเสนอไว้จึงเป็นจริง คือในปี 1963 เป็นครั้งแรกที่มีการสอบวัดระดับความรู้เพื่อให้ได้ใบอนุญาตชื่อว่า Chartered Financial Analyst หรือ CFA ที่พวกเรารุ่นหลังต้องตะเกียกตะกายไปสอบกันนั่นเอง นับเป็นมรดกชิ้นสำคัญที่เกรแฮมทำไว้ให้กับพวกเราครับ


จาก SSO Savings Club (1, 2)

ลูกค้าบริษัท SNC Former

For Automobile
  1. Alhpa Indutry (Thailand) Co.,Ltd 
  2. Calsonic Kansei (Japan) Co.,Ltd
  3. Calsonic Kansei (Thailand) Co.,Ltd
  4. Delphi Automotive Systems (Australian) Co., Ltd. 
  5. Delphi Automotive Systems (Thailand) Co., Ltd. 
  6. Delphi Powertrain Systems (India) Co., Ltd. 
  7. Denso (Thailand) Co., Ltd. 
  8. Halla Climate Control (Thailand) Co., Ltd.
  9. Kobayashi Autoparts (Thailand) Co., Ltd. 
  10. Pyongsan International (Thailand) Co., Ltd.
  11. Sanden (Thailand) Co., Ltd.
  12. Showa Aluminum (Thailand) Co., Ltd.
  13. Siam Calsonic (Thailand) Co., Ltd.
  14. Siam NSK Steering Systems Co., Ltd.
  15. Thai Subros Limited. 16. Toyota Tsusho (Thailand) Co., Ltd.
  16. T.RAD (Thailand) Co., Ltd.
  17. Valeo Vymeniky.Tepla k.s Czeh Republic.
  18. Valeo Siam Thermal Systems Co., Ltd.

For Compressor 
  1. Daikin Compressor Industries Ltd.
  2. Daikin Trading (Thailand) Ltd.
  3. Emerson Electric (Thailand) Ltd.
  4. GROHE SIAM LIMITED.
  5. Hanam Electricity (Thailand) Co., Ltd.
  6. Hitachi Compressor (Thailand) Co., Ltd.
  7. Kulthorn Kirby Public Co., Ltd.
  8. LG Electronics (Thailand) Co., Ltd.
  9. Siam Compressor Industry Co., Ltd.
  10. Thai Steel Kaspi Co., Ltd.

For Electronic 
  1. Celestica (Thailand) Co., Ltd. 
  2. Delta Electronics (Thailand) Public Company Limited 

For OEM Residential Air Conditioner
  1. Emmetti (Italy)
  2. Fujitsu (Japan)
  3. Gallette (Italy)
  4. Hitachi (Taiwan)
  5. LG (Korea)
  6. Miller (USA)
  7. Osaka Shoji Kaisha (Japan)
  8. Pompanette (USA)
  9. Riello (Italy)
  10. Season (USA, Germany)
  11. Tonon (Italy)
  12. Westair (Middle East, USA)
  13. Wind Industries (Middle East, USA)

For Residential Air Conditioner
  1. Amair Ltd. (Thailand) Co.,Ltd.
  2. C.B. TACT (Thailand) Co.,Ltd.
  3. Daikin Industries (Thailand) Ltd.
  4. Daikin Trading (Thailand) Ltd.
  5. Hitachi Tochigi Electronics (Thailand) Co., Ltd.
  6. Hosoda(Thailand) Ltd.
  7. Jedsen & Jessen Markiting (Thailand) Co., Ltd.
  8. Johnson Control International (Thailand) Ltd.
  9. LG Electronics (Thailand) Co., Ltd.
  10. Mahajak Development Co., Ltd.
  11. MD Distributor (Thailand) Co., Ltd.
  12. Mitsubishi Electric Consumer Products (Thailand) Co., Ltd.
  13. Mitsubishi Heavy Industries Mahajak Air Condition Co., Ltd.
  14. Mitsubishi Kang Yong Watana Co., Ltd.
  15. Panasonic AP Sales (Thailand) Co., Ltd.
  16. Panasonic Refrigeration Devices (Thailand) Co., Ltd.
  17. P.S.A. Inter-Cooling Co., Ltd.
  18. Sanden Intercool (Thailand) Public Company Limited.
  19. Sanyo (Thailand) Co., Ltd.
  20. Shimohira Electric (Thailand) Co., Ltd.
  21. Siam Daikin Sales Co., Ltd.
  22. Thai Toshiba Electric Industries Co., Ltd.
  23. TORC Co., Ltd.
  24. Toshiba Carrier (Thailand) Co., Ltd.
  25. T.RAD (Thailand) Co., Ltd. 

Refrigerator
  1. Haier Electric (Thailand) Public Company Limited.
  2. Hitachi Consumer Products (Thailand) Ltd.  
  3. Kang Youg Electric Public Company Limited. 
  4. Sanyo Commercial Solutions (Thailand) Co., Ltd. 
  5. Setpoint (Thailand) Co., Ltd. 
  6. Sharp Appliances (Thailand) Co., Ltd. 
  7. Sharp Thai Co.,Ltd 

For Sheet Metal
  1. AMAIR Co., Ltd.
  2. Celestica (Thailand) Co., Ltd.
  3. C.I Group Public Company Limited.
  4. Daikin Airconditioning (Thailand) Ltd.
  5. Daikin Industries (Thailand) Ltd.
  6. Daikin Trading(Thailand) Ltd.
  7. Electrolux (Thailand) Co., Ltd.
  8. Fujitsu General (Thailand) Co., Ltd.
  9. Jacol Engineering (Thailand) Ltd.
  10. Johnson Control International (Thailand) Ltd.
  11. Kobayashi Autoparts (Thailand) Co.,Ltd.
  12. LG Electronics (Thailand) Co., Ltd. 
  13. Mino (Thailand) Co.,Ltd. 
  14. Mitsubishi Electric Consumer Products (Thailand) Co., Ltd. 
  15. P.S.A Inter-Cooling Co.,Ltd.
  16. Sang In Electronics (Thailand) Co.,Ltd.
  17. Sanyo Comercial Solution (Thailand) Co., Ltd.
  18. Sanzen Seiko Thai Co., Ltd.
  19. Shimohira Electric Co.,Ltd.
  20. Siam Okamura Steel Co., Ltd.
  21. Terasaki Electric., (F.E.) Pte Ltd.
  22. TORC Co.,Ltd.

For Freezer 
  1. AIR PRODUCT'JOINT VENTURE & SUBSIDARY COMPANY IN ASIA
    • BANGKOK INDUSTRIAL GAS (THAILAND)
    • AIR WATER INC. (JAPAN)
    • APSTB (MALAYSIA)
    • APS (SINGAPORE)
    • NAP (CHINA)
    • API (INDONESIA)
    • APKI (KOREA)
    • OTHERS
  2. AIR PRODUCT AND CHEMICAL INC (APCI) (GLOBAL SOURCING)
ที่มาจากเว็บไซต์บริษัท SNC Former (ลิงค์

สถิติท่องเที่ยวเดือนมีนาปี 56

สรุปสถิติการเดินทางท่องเที่ยวระหว่างประเทศเดือนมีนาปี 56
  • เดือนมีนาคมปี 56 มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ จำนวน 2,259,237 คน เพิ่มขึ้น 363,677 คน
    หรือคิดเป็น 19.19% yoy 
  • ภูมิภาคที่มีอัตราการขยายตัวสูงสุด คือ เอเชียตะวันออก (+23.15%)
  • ในเดือนมีนาคม 56 ที่มีจำนวนสูงกว่า 2 ล้านคนต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 นับจากเดือน
    พฤศจิกายน 55 
  • สำหรับนักท่องเที่ยวตลาดหลักที่ขยายตัวสูง คือ จีน (+99.68%) และรัสเซีย (+34.49%)
  • นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเดือนมีนาคม 56 สูงสุด 5 อันดับแรก
    1. จีน
    2. รัสเซีย (เดือนก่อนเป็น มาเลเซีย)
    3. มาเลเซีย (เดือนก่อนเป็น รัสเซีย)
    4. ญี่ปุ่น
    5. เกาหลี  

สถิติท่องเที่ยวเดือนกุมภาปี 56

สรุปสถิติการเดินทางท่องเที่ยวระหว่างประเทศเดือนกุมภาปี 56
  • เดือนกุมภาพันธ์ปี 56 มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ จำนวน 2,328,297 คน เพิ่มขึ้น 474,561 คน
    หรือคิดเป็น 25.60% yoy 
  • ภูมิภาคที่มีอัตราการขยายตัวสูงสุด คือ เอเชียตะวันออก (+43.45%)
  • ในเดือนกุมภาพันธ์ 56 ที่มีจำนวนสูงกว่า 2 ล้านคนต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 นับจากเดือน
    พฤศจิกายน 55 
  • สำหรับนักท่องเที่ยวตลาดหลักที่ขยายตัวสูง คือ จีน (+162.75%)จากการเดินทางมาท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลตรุษจีน
  • นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเดือนกุมภาพันธ์ 56 สูงสุด 5 อันดับแรก
    1. จีน
    2. มาเลเซีย
    3. รัสเซีย
    4. ญี่ปุ่น
    5. เกาหลี 

สถิติท่องเที่ยวเดือนมกราปี 56

สรุปสถิติการเดินทางท่องเที่ยวระหว่างประเทศเดือนมกราปี 56
  • เดือนมกราคมปี 56 มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ จำนวน 2,241,184 คน เพิ่มขึ้น 249,026 คน
    หรือคิดเป็น 12.50% yoy 
  • ภูมิภาคที่มีอัตราการขยายตัวสูงสุด คือ แอฟริกา (+42.87%) 
  • ในเดือนมกราคม 56 ที่มีจำนวนสูงกว่า 2 ล้านคนต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 นับจากเดือน
    พฤศจิกายน 55 
  • สำหรับนักท่องเที่ยวตลาดหลักที่ขยายตัวสูง เช่น จีน (+38.57%) ญี่ปุ่น (+35.60%) เกาหลี (+32.35%) อินเดีย (+31.46%)
  • นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเดือนมกราคม 56 สูงสุด 5 อันดับแรก
    1. จีน
    2. มาเลเซีย
    3. รัสเซีย
    4. ญี่ปุ่น
    5. เกาหลี

SNC : Opp day May 7, 2013 part 1 รายงาน

วันนี้ ดร.สมชัย ไม่มาเนื่องจากว่าท่านประธานติดไปพบลูกค้า เนื่องจากช่วงนี้เป็นช่วงครบวาระประธานบริษัทลูกค้า เข้าไปเพื่ออำลาคนเก่าและทำความรู้จักกับประธานคนใหม่

Overall
  • Q1/56 มีรายได้ 2,313 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28% yoy
  • เป็นรายได้จากชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้าและ OEM 2,053 ลบ. เพิ่มขึ้น 29% (Q1/55 1,586 ลบ.)
  • เป็นรายได้จากชิ้นส่วนรถยนตร์ 260 ลบ. เพิ่มขึ้น 21% (Q1/55 215 ลบ.)
  • บริษัท SSMA (เป็นบริษัท Joint Venture เราถือหุ้น 49%) ยังไม่นับรายได้และ SCAN บริษัทใหม่ยังไม่มีรายได้
  • Q1/56 มีกำไรสุทธิ 159 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17% yoy โดยที่มีอัตรากำไรสุทธิที่ 6.8%
  • เป็นกำไรสุทธิจากชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้าและ OEM 132 ลบ. เพิ่มขึ้น 21% (Q1/55 109 ลบ.)
  • เป็นรายได้จากชิ้นส่วนรถยนตร์ 34 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% (Q1/55 28 ลบ.)
  • บริษัท SSMA ขาดทุน 4 ล้านบาท, บริษัท SCAN ขาดทุน 3 ล้านบาท

Home Appliance Segment

ยอดการผลิตอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าในประเทศ ข้อมูลจากสถาบันไฟฟ้าและอิเล็คโทนิค
(เฉพาะ 2 เดือนแรก เดือนที่ 3 ทาง SNC ประเมินเอง) 

  • คาดการณ์ไทยผลิตแอร์บ้านปีนี้ 19 ล้านเครื่อง เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 5%
  • ใน Q1/56 มียอดผลิตแอร์บ้าน 5 ล้านเครื่อง ปีที่แล้ว 4.3 ล้านเครื่อง เพิ่มขึ้น 16%
  • คาดการณ์ไทยผลิต Compressor 13.1 ล้านชิ้น เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 6%
  • ใน Q1/56 มียอดผลิต Compressor 3.1 ล้านเครื่อง ปีที่แล้ว 3.0 ล้านเครื่อง เพิ่มขึ้น 3%
  • คาดการณ์ไทยผลิตตู้เย็นปีนี้ 8.4 ล้านตู้ เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 16%
  • ใน Q1/56 มียอดผลิตตู้เย็น 1.7 ล้านตู้ ปีที่แล้ว 1.6 ล้านเครื่อง เพิ่มขึ้น 3%
  • คาดการณ์ไทยผลิตเครื่องซักผ้า 7.4 ล้านเครื่อง เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 9%
  • ใน Q1/56 มียอดผลิตเครื่องซักผ้า 3.6 ล้านเครื่อง ปีที่แล้ว 1.8 ล้านเครื่อง เพิ่มขึ้น 100%

Automotive Segment ครั้งที่แล้วผู้บริหารบอกว่าในส่วนนี้จะเพิ่มจาก 8% เป็น 20%

ปีนี้ประเมินว่าผลิตรถยนต์ 2.5 ล้านคัน (มองภาพแบบ conservative) เป็นส่งออก 50% ในประเทศ 50% (ปีที่แล้ว 2.428 ล้านคัน)
  • 1Q/56 ยอดผลิตรถยนต์ในประเทศ 7.21 แสนคัน ปีที่แล้ว 5.00 แสนคัน เพิ่มขึ้น 44% yoy 
  • เป็นยอดขายในประเทศ 4.13 แสนคัน ปีที่แล้ว 2.79 แสนคัน เพิ่มขึ้น 48% yoy 
  • 1Q/56 ยอดขายในประเทศ 57% ส่งออก 43%

Ratio
  • ใน Q1/56 ตัว cash cycle ติดลบ 8 วัน เทียบกับปีที่แล้ว ติดลบ 6 วัน ถือว่าดีขึ้น มาจากเจ้าหนี้การค้าที่มีจำนวนวันเพิ่มขึ้น
  • ROA เพิ่มขึ้นเป็น 17% จาก 14% , ROE เพิ่มขึ้นเป็น 31% จาก 25%
  • D/E เพิ่มขึ้น 0.92 -> 0.98 มีหนี้สินที่มีดอกเบี้ยคิดเป็น 0.02 เท่าก็ถือว่าไม่เยอะ

ความคืบหน้าโครงการ SCAN
  • เดิมโรงงานที่ระยองมีอยู่โรงเดียวคือ SPEC และปีก่อนก็ตั้งโรง SSMA ร่วมทุนกับญี่ปุ่น
  • SNC มีพื้นที่ 75 ไร่ มีพื้นที่ว่างเปล่าอยู่ 25% นำมาจัดตั้ง SCAN
  • โรงงาน SCAN ในเฟสแรกใช้พื้นที่ประมาณ 5,000 ตารางเมตร 
  • นอกจากสร้างอาคารโรงงานแล้ว ยังสร้างอาคารข้างๆ กันคืออาคาร Development Center สำหรับวิจัยและพัฒนา เพราะว่าเราตั้งเป้าจะเป็น  First-Tier (สำหรับธุรกิจรถยนตร์ ของแอร์บ้านเราเป็น First-Tier อยู่แล้ว) โดยเริ่มแรกซื้อ license มาจาก partner ที่ญี่ปุ่น บริษัทเคฮิน
  • โรงงาน SCAN งานโยธางานก่อสร้างน่าจะเสร็จ มิถุนา 
  • งานระบบต่างๆ เครื่องจักรทยอยติดตั้งในไตรมาส 3 
  • เริ่มทำตัวอย่างให้ลูกค้าได้ในไตรมาส 4

เมื่อกลางปี 2555 ได้เข้าไปถือหุ้นบริษัท Toptech diamond บริษัทที่ผลิตเครื่องมือในโรงงานอุตสาหกรรม ส่วนใหญ่เป็นลูกค้าในอุตสาหกรรมรถยนตร์ โดยเข้าไปถือหุ้นสัดส่วน 60% (ผู้ถือหุ้นเดิม 40%) 
  • ใน Q1/56 มียอดขาย 36 ล้านบาท กำไร 7.8 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 21% 
  • ใน Q2/56 มีการลงทุน 46 ลบ. ในเครื่องจักรเพื่อเพิ่มในส่วนของ Line Production ที่ยังผลิตไม่ได้

บริษัท International Techno pipe เราไปซื้อเครื่องจักรมาจากคู่ค้าของเรามูลค่า 9 ล้านบาท เริ่มผลิตและขายได้เลยในวันที่ 1 มกรา
  • ใน Q1/56 มียอดขาย 84 ล้านบาท กำไร 1.5 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 2%
  • บริษัทนี้เราจะลดต้นทุนจาก economies of scale เราได้ order มาแล้ว กำไรก็จะเพิ่มขึ้นใน Q2, Q3 ต่อไป


5/07/2556

JMART : ประชุมผู้ถือหุ้น 10/4/56 จากคุณ Doraza

สรุปสาระสำคัญ การประชุมผู้ถือหุ้นบริษัท JMART

คุณอดิศักดิ์ได้พูดถึงภาพรวมของตลาดโทรศัพท์มือถือว่ายังมีอนาคตอีกไกล ปีนี้เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นหลังจากที่มีการประมูล 3G จากก่อนหน้านี้ที่เคยคาดการณ์ไว้ว่าผู้ที่มีเครื่องโทรศัพท์ที่สามารถใช้กับระบบ 3G ในประเทศไทยมีประมาณ 20% ของทั้งหมด แต่ข้อมูลล่าสุดหลังจากที่ได้พูดคุยกับโอเปอร์เรเตอร์รายใหญ่กลับพบว่า เครื่องโทรศัพท์ที่ใช้ 3G ได้ในปัจจุบันมีเพียง 12-13% เท่านั้น ทำให้มองว่าโอกาสเติบโตของตลาดมือถือยังมีอีกมหาศาล

ปัจจุบัน JMART เป็นดีลเลอร์รายใหญ่ของซัมซุง และมือถือซัมซุงก็มีสัดส่วนยอดขายในร้าน JMART สูงมากถึงประมาณ 50% ของยอดขายทั้งหมด แต่ JMART ยังคงยืนยันที่จะรักษาความเป็นร้านขายมือถือที่ขายทุกแบรนด์ ทุกโอเปอร์เรเตอร์เอาไว้ เนื่องจากประสบการณ์ในธุรกิจมือถือที่มีความไม่ยั่งยืนของแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็น MOTOROLLA ในยุคแรก NOKIA ในยุคต่อมา และปัจจุบันเป็น SAMSUNG ซึ่งจุดนี้ถือเป็นจุดแข็งของ JMART

แผนการบุกตลาดต่างประเทศของ JMART ในปีนี้ จะตั้งบริษัทโฮลดิ้งเพื่อลงทุนในบริษัทร่วมกับพาร์ทเนอร์ในพม่า เหตุที่ต้องมีพาร์ทเนอร์ร่วมทุนเนื่องจากปัจจุบันยังติดข้อจำกัดด้านกฎหมายในการค้าปลีกในพม่า ภาพรวมตลาดพม่าตอนนี้ คุณอดิศักดิ์บอกว่าน่าจะเหมือนเมืองไทยเมื่อ 20 ปีก่อน ที่การกระจายของการค้ายังมีน้อย ปัจจุบันมีประมาณ 20% จากตรงนี้จึงเห็นโอกาสที่จะเข้าไป ส่วนโมเดลธุรกิจในพม่าอาจจะไม่จำกัดเฉพาะขายมือถือ แต่คงมีสินค้าอื่นร่วมด้วย

เป้าหมายของ JMART ในปีนี้ ตั้งเป้าเปิดสาขาเพิ่ม 60 สาขา เฟรนด์ไชส์ 10 สาขา รวมเป็น 70 สาขา ส่วนของเฟรนด์ไชส์จะทยอยเปิดแบบค่อยเป็นค่อยไป ปัจจุบันเฟรนด์ไชส์พร้อมเปิดมีแล้ว 3 สาขา 

ธุรกิจพื้นที่เช่าปัจจุบันมี IT JUNCTION อยู่ 40 แห่ง มี Dealer เช่าพื้นที่อยู่ประมาณ 1,200 ราย การขยาย IT JUNCTION หากพื้นที่ไหนมีศักยภาพก็จะค่อยๆ ขยายไปเรื่อยๆ 

เป้าหมายการเติบโตในภาพรวมตั้งไว้ที่ประมาณ 40% โดยมาจากการเติบโตของร้านค้าเดิม 20% การเติบโตจากการจัดงาน 10% และการเติบโตจากร้านค้าใหม่ 10% เน้นการเติบโตของกำไรมากกว่ายอดขาย

5/05/2556

CPN เตรียมบุ๊คกำไรใหม่หลังขายสินทรัพย์ Q3

กิมเอ็ง คาดกำไรสุทธิ 1Q56 เติบโต 15% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนจากค่าเช่าเพิ่มขึ้นและเปิดโครงการใหม่ ผลประกอบการจะขยายตัวต่อเนื่องใน 2Q56 และสูงสุดของปีในช่วง 3Q56 จากการบันทึกกำไรจากการขายสินทรัพย์เข้ากองทุนอสังหาริมทรัพย์

แนะนำ ซื้อ ให้ราคาเป้าหมาย (DCF) เท่ากับ 115 บาท (หลังแตกพาร์ราคาเป้าหมาย 57.50 บาท)
ข่าวหุ้นวันศุกร์ที่ 03 พฤษภาคม 2556 (ลิงก์)

1 เด้งแรกในชีวิตจาก JMART


หุ้นตัวนี้ผมเก็บช่วงเดือนธันวา 55 และมกรา 56 จากนั้นก็ถือเก็บจนถึงตลาดปิดวันที่ 3 พฤษภาคม 2556 ทำให้ผมได้กำไรจากหุ้น JMART 1 เท่าตัวเป็นครั้งแรก (จริงๆ ผมเคยได้กำไร 1 เท่าตัวมาครั้งหนึ่งแล้วก่อนหน้านี้ แต่ได้มาจากหุ้น ipo ผมจึงไม่นับซึ่งปัจจุบันก็ยังถือหุ้น ipo ตัวนี้อยู่)

ปล. ส่วนตัวผมคิดว่าราคาตอนนี้แพงล่วงหน้าไปมาก

JMART ทำความรู้จักกับตลาดมือถือในพม่า

พม่าก่อนเปิดประเทศ
  • ประชากรน้อยกว่า 10% เข้าถึงการใช้งานโทรศัพท์ พม่ามีประชากรประมาณ 60 ล้านคน
  • เป็นตัวเลขที่น่าตกใจไม่น้อย เพราะบังคลาเทศ ประเทศที่มีระดับทางเศรษฐกิจที่ใกล้เคียงกัน กลับพบว่ามีประชาชนกว่า 56% ที่ใช้โทรศัพท์มือถือ
  • เครื่องโทรศัพท์ราคาพอๆ กับเมืองไทย แต่ราคาเบอร์มือถือแพงมาก
  • ราคาเบอร์มือถือ (รายเดือน) นั้นอาจจะพุ่งถึงกว่าแสนบาทเงินไทย อ่านไม่ผิด หนึ่งแสนบาทไทย
  • เบอร์มือถือ (รายเดือน) ที่พม่าก็เหมือนกับอสังหาริมทรัพย์บ้านเรา ยกตัวอย่างง่ายๆ ว่า รัฐบาลออกเบอร์มาให้ประชาชนใช้ 100 เบอร์ จะไม่มีการผลิตเพิ่ม 100 เบอร์นั้นก็เปลี่ยนมือไปเรื่อยๆ ซื้อขายกันเอง แน่นอนเป็นใครก็โก่งราคา

พม่าหลังเปิดประเทศ
  • ก่อนหน้านี้ ซิมการ์ดโทรศัพท์มือถือในพม่ามีราคาแพงมากประมาณ 2-3 ล้านจ๊าด หรือประมาณ 48,300 - 96,600 บาท แต่ในปี 2554 ราคาซิมการ์ดเริ่มลดลงมา โดยถูกสุดอยู่ที่ประมาณ 200,000 จ๊าด หรือประมาณ 5,700 บาท และคาดว่าในปี 2556 ราคาน่าจะลดลงมาอยู่ที่ต่ำกว่า 10,000 จ๊าด หรือประมาณ 480 บาท ล่าสุดกำลังเตรียมจะลดลงเหลือ 50 บาทในเร็วๆ นี้เพื่อให้คนเข้าถ้งมือถือกันมากขึ้น
  • ปี 2556 พม่าก็ถึงเวลาที่ต้องพัฒนาสระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน บริษัทต่างชาติกว่า 20 บริษัทเข้ายื่นซองประกวดราคาชิงสัมปทานโทรศัพท์เคลื่อนที่ข่ายใหม่ในตลาดผู้บริโภค 60 ล้านคน บริษัท Vodafone, บริษัท China Mobile และกลุ่มทุนที่มีความเชื่อมโยงกับมหาเศรษฐีจอร์จ โซรอส เป็นส่วนหนึ่งในผู้เข้าร่วมประมูลทั้งหมด 22 ราย ที่ต้องการจะเข้ามาลงทุนในภาคส่วนโทรคมนาคมของพม่า หนึ่งในดินแดนที่โทรศัพท์มือถือยังคงไม่ถูกสำรวจแห่งสุดท้ายของโลก
  • บริษัทต่างชาติยักษ์ใหญ่ต่างเข้าแถวรอที่จะเข้าลงทุนทำธุรกิจในประเทศที่อดีตเคยปกครองโดยทหารแห่งนี้ และประชากรน้อยกว่า 10% เข้าถึงการใช้งานโทรศัพท์ ซึ่งรัฐบาลพม่าหวังที่จะกระตุ้นตัวเลขเพิ่มขึ้นให้เป็น 80% ภายในปี 2559
  • สมมุติปัจจุบันมีคนมีมือถือ 10% หรือประมาณ 6 ล้านเครื่อง ถ้าทำได้ตามเป้าที่รัฐบาลพม่าตั้งไว้ จะมีการซื้อมือถือกันทั้งหมดอีก 42 ล้านเครื่อง (70%) ภายใน 4 ปีข้างหน้า

แต่เนื่องจากรายได้ต่อหัวของชาวพม่ายังต่ำอยู่มาก ปี 2555 พม่ามีรายได้ต่อคนต่อเดือนเพียงแค่ 4,650 บาท น้อยที่สุดในอาเซียน ขณะที่ไทยอยู่ที่ 25,128 บาท ดังนั้นราคาเครื่องเฉลี่ยน่าจะอยู่ที่ประมาณ 2,000 บาทต่อเครื่องแสดงว่า 42,000,000 x 2,000 = 84,000,000,000 ล้านบาท หรือตกปีละ 21,000 ล้านบาท (4ปี ,ปี 56 - 59) จะเห็นว่าตอนนี้ตลาดมือถือในพม่ายังไม่ใหญ่มากนัก แต่ใน 2-4 ปีข้างหน้านี้จะโตขึ้นอย่างมาก

สมมุติถ้า J&P Thailand มี Market Share 10% ก็จะมียอดขายที่มาจากพม่าโดยประมาณปีละ 2100 ล้านบาท ถ้าคิดที่ เจมาร์ท โฮลดิ้ง ถือหุ้นสัดส่วน 40% รายได้ก็จะตกถึง JMART ที่ 840 ล้านบาทต่อปีในอนาคตถ้าคนพม่าเริ่มมีเงิน และหันมาซื้อ Smartphone กันมากขึ้น ราคาขายต่อเครื่องก็อาจจะสูงขึ้นได้

เพิ่มเติมและแก้ไขจาก siamvi (ลิงก์)

JMART ตั้งบริษัท เจมาร์ท โฮลดิ้งส์ บุกต่างประเทศ

JMART จัดตั้งบริษัท เจมาร์ท โฮลดิ้งส์ ขึ้นมาเพื่อเข้าไปลงทุนในต่างประเทศ โดยในการเข้าไปลงทุนในประเทศพม่านั้นจะให้บริษัท เจมาร์ท โฮลดิ้งส์ เข้าไปเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท J&P Thailand ซึ่งเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในประเทศไทย  คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปลายเดือน พ.ค.56 นี้

บริษัท J&P Thailand ประกอบด้วย
  • บริษัท เจมาร์ท โฮลดิ้ง สัดส่วน 40%
  • กลุ่มสหพัฒน์ 20%
  • บริษัท เอ็ม เค กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทท้องถิ่น ในประเทศพม่า 30%
  • บริษัท เอสไอเอส ซึ่งเป็นบริษัทแม่ ของเอ็ม เค กรุ๊ป สัดส่วน 10%

โดยบริษัท J&P Thailand จะเป็นบริษัทที่ปล่อยสินเชื่อให้บริษัทที่บริหารเจมาร์ท ช็อป ในประเทศพม่า ตั้งเป้าจะไปเป็นบริษัทที่ใหญ่ใน 5 ปี ซึ่งการเข้าไปลงทุนในพม่าเราได้ฟอร์มบริษัทขึ้นเพื่อทำธุรกิจทางอ้อม เพราะติดกฎหมายพม่าที่จำกัดการเข้าไปทำธุรกิจค้าปลีกของคนต่างชาติได้โดยตรง

สำหรับการเข้าไปลงทุนพม่าในช่วงแรกใช้เงินประมาณ 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในการเข้าไปเปลี่ยนช็อปของ เอ็ม เค กรุ๊ป เป็น เจมาร์ท ช็อป จำนวน 4 แห่ง และเปิดสาขาเพิ่มอีก 16 แห่ง ในปีนี้ โดยเป้าหมายในเบื้องต้นจะเปิดเฉพาะในเมืองย่างกุ้ง จากนั้นจะดูพื้นที่อื่นในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นเนปิดอว์ และเมืองอื่นๆ

บัวหลวง (ลิงก์)

GMM เตรียมประมูลทีวีดิจิตอล 5,000 ล้านบาท สำหรับ 3 ช่อง



หลังจากที่ GMM ขายหุ้นมติชน (MATI) จำนวน 42,388,000 หุ้น ที่ราคาเฉลี่ย 11.09 บาท (ราคาทุนเมื่อปี 2548) รวมมูลค่า 469.94 ล้านบาทพร้อมเพิ่มงบลงทุนเป็น 5,000 ล้านบาท สำหรับประมูล 3 ช่อง

GMM ยังมีถือหุ้นอีก 3 บริษัท ดังนี้

  • โพสต์ พับลิชชิง (POST) สัดส่วน 23.60% หรือประมาณ 118 ล้านหุ้น
  • ออฟฟิศเมท (OFM) สัดส่วน 1.15% หรือประมาณ 3,680,000 ล้านหุ้น
  • ซีเอ็ดยูเคชั่น (SE-ED) สัดส่วน 12.64% หรือประมาณ 45,045,920 หุ้น

กรุงเทพธุรกิจ (ลิงก์)

5/01/2556

"แก่นในการลงทุนของผม" อ.พีรยุทธ เหลืองวารินกุล (Picatos)


ประมวลองค์ความรู้และประสบการณ์ลงทุนตลอดท­ี่ผ่านมา
ของนักลงทุนแนว VI ที่ชื่อ พีรยุทธ เหลืองวารินกุล

เงินบาทแข็งสู้ศึก การคลัง VS แบงค์ชาติ

ประสาร ไตรรัตน์วรกุล (ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย)

เงินถูกอัดฉีดเข้ามาในระบบเป็นจำนวนมาก จากการใช้นโยบายการเงินของธนาคารกลางในหลายๆ ประเทศ ส่วนหนึ่งทำให้เงินไหลเข้าตราสารหนี้เหตุผลก็คือเป็นที่พักเงิน และรักษาเงินต้นได้ดี

พบว่ามีเงินไหลเข้าตราสารหนี้ของไทยในระยะเวลา 1 ปีขึ้นไปถึง 75% สำหรับ 1 ปีอัตราผลตอบแทนอยู่ที่ 2.75% แม้อัตราผลตอบแทนจะน้อยแต่ก็ทำให้แบงค์ชาติขาดทุนจากการถือดอลล่าร์ที่ฝรั่ง เอามาแลกกับเงินบาท 7 แสนล้านบาทแล้ว (ดอลล่าร์ผลตอบแทนต่ำ 0.25% ขาดทุนส่วนต่างดอกเบี้ย)

เหตุที่เงินทุนไหลเข้าตราสารหนี้ไทยนอกจากรักษาเงินต้นและกำไรจากส่วนต่าง ดอกเบี้ยแล้ว ก็เพราะว่าทั้งการคลังและแบงค์ชาติยังไม่มีนโนบายการสกัดกั้นเงินไหลเข้าจาก ต่างชาติ ด้วยเหตุผลว่า
  • การคลังก็ไม่ออกนโยบายภาษีของนักลงทุนต่างชาติมาสกัดกั้น เพราะพึ่งไปจะไปโรดแมป ดึงลงทุนต่างชาติอยู่เลย ตามนโยบายเศรษฐกิจการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ 
  • แบงค์ชาติก็ไม่ลดอัตราดอกเบี้ย เพราะถ้าจะลดแค่ 0.25-0.50% ก็ยังมีส่วนต่างของดอกเบี้ยให้เงินไหลเข้ามาอยู่ดี ไม่ได้ช่วยสกัดกั้นอะไรนอกเสียจากจะลดลง 1-2% ซึ่งนั้นจะทำให้เกิดฟองสบู่และหนี้ครัวเรือนก็จะสูง 
ล่าสุดเมื่อวาน(30 เม.ษ. 56) หลังจากปรึกษากันเสร็จ แบงก์ชาติก็ออกมายันแล้วว่าไม่ลดดอกเบี้ยให้คงไว้ที่ 2.75% ตอนนี้แบงค์ชาติเหมือนแพะเลยว่าเป็นคนทำให้บาทแข็งไม่ยอมมีนโยบายอะไรในการแก้ปัญหา ยังไงก็ตามขอเอาใจช่วยท่านประสาร ในการแก้ไขเงินบาทแข็งค่านะครับ